Tempered vs Heat-Strengthened กระจกแบบไหนที่ควรวางสเปกบนตึกสูง?

กระจกบนตึกสูง ไม่ได้มีหน้าที่แค่สวย แต่ต้องเอาอยู่เรื่องความแกร่ง แล้วกระจกแบบไหนที่ปลอดภัยกับการใช้งานบนตึกสูง ตามไปหาคำตอบพร้อมกัน!
กระจกที่ใช้งานบนตึกสูง บางทีคิดว่า ‘แกร่งพอ’ ก็จบ แต่ความจริงคือบนอาคารสูงต้องเผชิญทั้งแรงลม แสงแดด และอุณหภูมิ คำถามคือ แล้วกระจกแบบไหนที่ตอบโจทย์ความปลอดภัยบนอาคารสูงได้จริง บทความนี้จะพาไปรู้จักกับความต่างระหว่างกระจก Tempered กับ Heat-Strengthened สองกระจกที่ดูคล้ายกัน แต่ใช้งานต่างกัน เพราะเลือกวางสเปกผิด อาจเสี่ยงทั้งเรื่องความปลอดภัยในการออกแบบโครงการและเสี่ยงต่อผู้ใช้งานมากกว่าที่คิด!
กระจกฮีทสเตร็งเท่นและกระจกเทมเปอร์คืออะไร?
กระจกเทมเปอร์กับฮีทสเตร็งเท่น ความจริงแล้วมีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน ทั้งคู่เริ่มจาก กระจกโฟลต (Annealed Glass) ที่ถูกนำไปอบร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 650–700°C จากนั้นจะทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วด้วยการเป่าลมใส่ผิวกระจก
ความต่างอยู่ตรง ‘แรงลม’ ตอนเป่า
- ถ้าเป่าลมแรงมาก กระจกจะเย็นตัวเร็ว โมเลกุลที่ผิวกระจกจะอัดแน่น เกิดแรงอัด (Compressive Stress) ให้มีค่าความเครียดที่ผิวกระจกมากเกิน 10,000 PSI ขึ้นไป แบบนี้เราเรียกว่า กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass)
- แต่ถ้าลดแรงลมลง ก็จะมีผลทำให้กระจกเย็นตัวช้าลง ความเครียดที่ผิวกระจกก็จะลดลงมา ทำให้ผิวกระจกมีค่าความเครียดระหว่าง 3,500 ถึง 7,500 PSI โดยจะเรียกกระจกชนิดนี้ว่า กระจกฮีทสเตร็งเท่น’ (Heat-Strengthened Glass)
พูดง่าย ๆ คือ ใช้วิธีผลิตคล้ายกัน ต่างกันที่ “แรงลม” และ “ระดับความเครียดของผิว” ซึ่งความต่างเล็ก ๆ นี้แหละ ที่ส่งผลต่อ “ความเหมาะสม” ในการใช้งานที่ต่างกัน
กระจกสองชนิดนี้แตกต่างกันยังไง?
- กระจกเทมเปอร์ นับว่าแข็งกว่ากระจกธรรมดา 4–5 เท่า และทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิฉับพลันได้สูงถึง 150 องศาเซลเซียส
- ในขณะที่ กระจกฮีทสเตร็งเท่น เหมาะกับกระจกที่ต้องใส่กรอบบาน เพราะเมื่อแตกกระจกจะแตกเป็นแผ่นใหญ่ ไม่เป็นปากฉลาม แต่ยังยึดติดอยู่กับกรอบบาน
แล้วถ้าเทมเปอร์ดีกว่า…จะมีฮีทสเตร็งเท่นไปทำไม?
ต้องเข้าใจก่อนว่า กระจกเทมเปอร์ เวลาแตก จะแตกเป็นเม็ดเล็ก ๆ เหมือนข้าวโพด แม้จะเป็นข้อดีในด้าน “ความปลอดภัย” สำหรับใช้เป็นประตูกระจกในห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ใช้งาน เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุ เศษที่แตกจะไม่เป็นแผ่นใหญ่คมแบบกระจกทั่วไป ทำให้ช่วยลดความรุนแรงได้มาก
แต่การใช้งานกระจกบนตึกสูงไม่เหมือนกัน เพราะถ้าใช้เทมเปอร์เป็นผนังอาคารบนตึกสูงเกิดแตกขึ้นมา คนที่อยู่บนตึกจะไม่มีอะไรขวางกั้นความปลอดภัย ทำให้อันตรายต่อผู้อยู่อาศัยในอาคาร เพราะเศษกระจกบางส่วนอาจจะหล่นลงมาจากบนตึกสูงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อคนข้างล่างได้
ตรงนี้แหละที่ Heat-Strengthened สามารถตอบโจทย์การใช้งานบนตึกสูงได้ดีกว่ากระจกเทมเปอร์ เพราะเวลาฮีทสเตร็งเท่นแตก จะไม่แตกกระจายเหมือนเทมเปอร์ แต่จะแตกแบบวิ่งเป็นเส้นเข้าหาเฟรม ทำให้กระจกยังคงติดอยู่กับช่องเฟรม โดยไม่ร่วงหล่นไปจากอาคาร ทำให้อย่างน้อยก็ยังมีกระจกอยู่ที่ผนังอาคาร ช่วยกั้นลม กันตก กันอันตรายจากภายนอกได้ในระดับนึง
กระจกฮีทสเตร็งเท่น เหมาะกับงานแบบไหน?
1) อาคารสูง – ยิ่งสูง ยิ่งต้องวางสเปกให้ถูก
ตามกฎหมายควบคุมอาคารได้กำหนดไว้ว่า ถ้าอาคารสูงเกิน 23 เมตร กระจกเปลือกนอกอาคาร (ฟาซาด) ต้องใช้กระจกลามิเนตเพื่อความปลอดภัย แต่จากการคำนวณแรงดันลม และความร้อนสะสมที่กระจก ทำให้การใช้กระจกโฟลตธรรมดาที่นำมาลามิเนตส่วนใหญ่ไม่ผ่านเกณฑ์ จึงเหลือ 2 ตัวเลือกคือ
- Tempered Laminate
- Heat-Strengthened Laminate
แต่ดีที่สุดคือการใช้กระจกฮีทสเตร็งเท่นที่ลามิเนต เพราะกระจกแตกจะยังทนรับแรงลมบนผนังอาคารได้ดีกว่า เพราะถ้าเป็นกระจกเทมเปอร์ เมื่อเวลาแตกแล้วกระจกแผ่นที่แตกจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงสู่พื้นที่ด้านล่างได้ ในขณะที่กระจกฮีทสเตร็งเท่นยังยึดติดอยู่กับกรอบเฟรมได้ดีกว่า
2) พื้นกระจกและ Sky Light – ความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม
นึกภาพว่าเรายืนอยู่บน กระจกพื้น หรือมองขึ้นไปเห็น Sky Light ใส ๆ บนเพดาน ถ้าวันหนึ่งมันแตกขึ้นมา แน่นอนว่าส่งผลต่อความปลอดภัยกับผู้ใช้งานโดยตรง กระจกที่เหมาะกับการวางสเปกเป็นพื้นกระจกหรือสกายไลท์จึงควรเป็น ฮีทสเตร็งเท่นลามิเนต มากกว่า เทมเปอร์ลามิเนต
การเลือกกระจกให้เหมาะกับบริบทการใช้งาน คือสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มทั้ง “ความปลอดภัย” และ “มาตรฐาน” ให้กับงานออกแบบโครงการตึกสูงมากขึ้น สิ่งสำคัญคือไม่ใช่แค่ กระจกต้องแข็งแรง แต่ถึงจะแตกแล้วก็ยังต้องปลอดภัยต่อผู้ใช้งานในอาคารและผู้สัญจรที่อยู่ด้านล่างของอาคารด้วยเช่นกัน
ดูรายละเอียดกระจกโครงสร้างเพิ่มเติมได้ที่ strengthglas
ดูรายละเอียดกระจกอบความร้อนเพิ่มเติมได้ที่ glastem