แสงสะท้อนจากกระจกส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

แสงสะท้อน

เคยไหม เวลานั่งทำงานใกล้หน้าต่างแล้วรู้สึกแสบตา ต้องหยีตา หรือเปลี่ยนมุมโต๊ะหนีแสง? ปัญหาเล็กๆ ที่หลายคนมองข้ามนี้ อาจเป็นสัญญาณของ “Glare” หรือแสงสะท้อนจ้าที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

 

เพราะการเลือกกระจกที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ช่วยให้การใช้ชีวิตทุกวันสบายตาและมีสุขภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะในยุคที่สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เน้นความโปร่ง โล่ง และเปิดรับแสงธรรมชาติ การใช้ “กระจก” กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในอาคารทั้งภายนอกและภายใน ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย สำนักงาน หรืออาคารพาณิชย์ แต่สิ่งที่หลายคนมักไม่รู้คือ “แสงสะท้อนจากกระจก” หรือที่เรียกว่า Glare อาจเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพตา และคุณภาพชีวิตโดยไม่รู้ตัว

Reflect in

Glare คืออะไร?

Glare หมายถึง แสงจ้าที่เกิดจากการสะท้อนของแสง (ทั้งจากแสงธรรมชาติและแสงประดิษฐ์) ที่เข้าสู่สายตาในปริมาณมากเกินไปจนเกิดความไม่สบายตา อาการมักเกิดขึ้นเมื่อแสงจากพื้นผิวกระจก กระจกอาคาร หรือแม้แต่หน้าจอในออฟฟิศสะท้อนเข้าสู่ดวงตาโดยตรง

 

ประเภทของ Glare แบ่งออกได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ ได้แก่

  1. Discomfort Glare – แสงจ้าที่ทำให้รู้สึกระคายเคือง ไม่สบายตา ปวดหัว หรือมองเห็นไม่ชัดชั่วขณะ
  2. Disability Glare – แสงที่รบกวนการมองเห็นอย่างชัดเจน เช่น แสงแดดสะท้อนเข้าตา ทำให้มองถนนไม่เห็น หรืออ่านเอกสารไม่ได้

 

แม้จะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่ผลของ Glare สามารถสะสมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพระยะยาวได้

 

เมื่อ “แสงสะท้อน” กลายเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพ

แสงสะท้อนจากกระจกที่มากเกินไปอาจส่งผลต่อร่างกายและสมาธิในการทำงานอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะในอาคารที่มีกระจกขนาดใหญ่หรือใช้วัสดุโปร่งแสงโดยไม่ได้คำนึงถึงทิศทางของแสงแดด หลายคนอาจคิดว่าเพียงเลือกใช้กระจกใสหรือกระจกเทมเปอร์ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริง “กระจกเทมเปอร์” เป็นเพียงกระจกนิรภัยที่ผ่านกระบวนการเพิ่มความแข็งแรง แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันรังสี UV หรือความร้อนได้โดยตรง

 

นั่นหมายความว่าแม้แสงแดดจะถูกบังด้วยกระจกจนเราไม่รู้สึกจ้า แต่รังสี UV และความร้อนจากดวงอาทิตย์ยังสามารถทะลุเข้าสู่พื้นที่ภายในได้อยู่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้

  • ห้องภายในอาคารร้อนอบอ้าว
  • เฟอร์นิเจอร์ซีดจาง
  • ผู้อยู่อาศัยต้องเปิดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น
  • ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น
    • อาการล้าสายตา (Eye Strain) – การเพ่งสายตากับแสงจ้าเป็นเวลานานทำให้กล้ามเนื้อตาล้า และอาจเกิดภาวะตาแห้ง
    • ปวดศีรษะและไมเกรน – แสงจ้าที่เกินไปทำให้สมองต้องปรับการมองเห็นบ่อยครั้ง
    • สมาธิลดลงและประสิทธิภาพการทำงานแย่ลง – โดยเฉพาะในพื้นที่สำนักงานที่มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์หรือผนังกระจก
    • ส่งผลต่อคุณภาพการนอน – หากห้องนอนรับแสงสะท้อนเข้ามามากเกินไป อาจรบกวนวงจรการนอนหลับในระยะยาว

 

ดังนั้น “แสงที่ดี” ไม่ได้หมายถึงแสงที่มากที่สุด แต่คือ “แสงที่เหมาะสมกับสายตาและสภาพแวดล้อม” ต่างหาก ดังนั้นการเลือกใช้กระจกที่มีคุณสมบัติทางพลังงานเหมาะสม เช่น ค่า SHGC และ U-Value ที่ดี จะช่วยลดทั้งแสงสะท้อนและความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้จักค่า SHGC และ U-Value ที่ช่วยให้บ้านเย็นและดีต่อสุขภาพ

การเลือกกระจกในยุคนี้ไม่ได้ดูแค่ความหนาหรือสีของกระจกเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาค่าทางเทคนิคที่มีผลต่อการถ่ายเทพลังงานความร้อนด้วย ได้แก่

  1. ค่า SHGC (Solar Heat Gain Coefficient)

คือค่าที่บอกว่า “กระจกปล่อยให้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ผ่านเข้ามามากน้อยแค่ไหน”

  • ค่ายิ่ง ต่ำ → กระจกยิ่งกันความร้อนได้ดี
  • ตามเกณฑ์ของ กระทรวงพลังงานในโครงการ EIA แนะนำให้เลือกกระจกที่มีค่า SHGC 0.55 เพื่อช่วยลดภาระการใช้พลังงานในอาคารและรักษาอุณหภูมิให้เย็นสบาย

     

    2.ค่า U-Value

    คือค่าการถ่ายเทความร้อนของกระจกจากด้านนอกสู่ด้านใน

  • ยิ่งค่า U-Value ต่ำ → ยิ่งช่วยป้องกันความร้อนได้ดีและรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่
  • กระจกที่มี U-Value ต่ำเหมาะสำหรับอาคารในสภาพอากาศร้อน เช่น ประเทศไทย

เมื่อเลือกกระจกที่มี ทั้งค่า SHGC และ U-Value ที่เหมาะสม จะช่วยให้

  • อาคารเย็นขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศมาก
  • ประหยัดพลังงาน
  • ลดปัญหาแสงสะท้อน (Glare) ที่รบกวนสายตา

กระจกที่ดี ควรตอบโจทย์ได้มากกว่าความปลอดภัย

การแก้ปัญหาแสงสะท้อนไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดขึ้นแล้วค่อยหาทางป้องกัน เพราะสามารถ “ออกแบบให้ดีตั้งแต่แรก” ได้ผ่านการเลือกกระจกที่เหมาะสมกับลักษณะอาคารและทิศทางแสง

แนวทางเลือกกระจกเพื่อช่วยลดปัญหา Glare มีดังนี้

  1. เลือกใช้กระจกที่มีค่าสะท้อนแสงเหมาะสม

การเลือกใช้กระจกต้องเลือกค่าการสะท้อน (Reflectance) ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับที่รบกวนพื้นที่รอบข้าง ซึ่งตามกฎหมายกำหนดว่ากระจกไม่ควรมีค่าแสงสะท้อนเกิน 30% แต่หากเป็นอารคารสูง หรืออาคารที่ต้องผ่านเกณฑ์ EIA ด้วยจะมีกำหนดไว้ว่ากระจกควรมีค่าแสงสะท้อนไม่เกิน 15% หรือบางทีไม่ควรเกิน 10% เท่านั้น

  1. คำนึงถึงทิศทางการติดตั้ง

ทิศตะวันตกและทิศใต้เป็นจุดที่แสงแดดแรงในช่วงบ่าย การเลือกกระจกที่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนได้ดี ป้องกันแสง UV เข้าสู่พื้นที่ด้านใน รวมถึงสร้างสมดุลระหว่างความสว่างและความเย็นสบายอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดปัญหา Glare ได้อย่างมาก

 

ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตกระจกก้าวไกลกว่าเดิมมาก สำหรับ TYK Glass ก็มีตัวเลือกค่า Performance หลากหลายที่นักออกแบบ สถาปนิก รวมถึงผู้ใช้งานสามารถ ปรับแต่งกระจก (Customize Glass Performance) ได้ตามความต้องการ เช่น

  • ปรับระดับการสะท้อนแสง (Reflectance)
  • เลือกค่า SHGC / U-Value ตามทิศทางแสงของอาคาร
  • เพิ่มคุณสมบัติกรองรังสี UV หรือเคลือบสาร Low-E

โดยเรามี ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกประหยัดพลังงาน ที่สามารถให้คำปรึกษาเรื่องค่าประสิทธิภาพ (Performance Value) ที่เหมาะสมกับแต่ละโครงการ เพื่อให้ได้สมดุลระหว่าง “ความสวยงาม – ความสบายตา – และประสิทธิภาพพลังงาน” ไปพร้อมกัน

 

เพราะกระจกคุณภาพดี จะช่วยให้ชีวิตประจำวันสบายตาและสุขภาพดีกว่า การเลือกใช้กระจกที่ดีจึงไม่เพียงช่วยในด้าน “ความสวยงามของอาคาร” แต่ยังมีผลโดยตรงต่อ “สุขภาพสายตาและคุณภาพชีวิต” ของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว โดยฉพาะในยุคที่เราทำงานและใช้เวลาในอาคารมากกว่า 80% ของวัน การออกแบบแสงที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงการสะท้อนจากกระจกจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้องค์ประกอบอื่น ๆ ของอาคารเลยทีเดียว

 

การเลือกใช้กระจกที่มีคุณสมบัติที่ดีตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นการลงทุนเพื่อ “ความสบายตาและสุขภาพที่ดีในระยะยาว”

 

ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ กระจกประหยัดพลังงาน koolmax

Share the Post: